เมนู

วรรคที่ 2



อรรถกถาสูตรที่ 1-2



ประวัติพระจุลลปัณฐกเถระ และพระมหาปัณฐกเถระ



วรรคที่ 2 สูตรที่ 1

พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า มโนมยํ ความว่า กายที่บังเกิดขึ้นด้วยใจ ในอาคตสถาน
ที่ตรัสไว้ว่า "เข้าไปหาแล้วด้วยมโนมยิทธิทางกาย" ชื่อว่ากาย-
มโนมัย. กายที่บังเกิดขึ้นด้วยใจในอาคตสถานที่กล่าวไว้ว่า ย่อม
เข้าถึงกาย้อนสำเร็จด้วยใจอย่างใดอย่างหนึ่ง" ก็ชื่อว่ากายมโนมัย.
ในที่นี้ ประสงค์เอากายมโนมัยนี้.
ในกายทั้ง 2 อย่างนี้ ภิกษุทั้งหลายเหล่าอื่น เมื่อทำมโนมัย-
กายให้เกิดขึ้น ก็ทำให้เกิดขึ้น 3 บ้าง 4 บ้าง แต่ทำคนมากให้
บังเกิดเป็นเหมือนคนเดียวกันไม่ได้, ชื่อว่ากระทำกรรมได้อย่าง
เดียวเท่านั้น. ส่วนพระเถระชื่อว่าจุลลปัณฐก นิรมิตพระ 1,000 รูป
ได้ด้วยอาวัชชนะเดียว แต่กระทำแก่ 2 คนให้เสมือนเป็นคน ๆ เดียว
กันไม่ได้ ชื่อว่ากระทำกรรมอย่างเดียวไม่ได้. เพราะฉะนั้น ท่าน
ชื่อว่า เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้นิรมิตมโนมัยกาย. พระจุลลปัณฐก
นับว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุ คือภิกษุผู้ฉลาดในเจโตวิวัฏฏะ. ส่วน
พระมหาปัณฐกเถระท่านกล่าวว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้ฉลาด
ในปัญญาวิวัฏฏะ. บรรดาทั้งสองรูปนั้น พระจุลลปัณฐกเถระท่าน
กล่าวว่าเป็นผู้ฉลาดในเจโตวิวัฏฏะ เพราะได้รูปาวจรฌาน 4.
พระมหาปัณฐกเถระท่านกล่าวว่า เป็นผู้ฉลาดในปัญญาวิวัฏฏะ

เพราะเป็นผู้ฉลาดในสมาบัติ. พระมหาปัณฐก ชื่อว่า ผู้ฉลาดใน
ปัญญาวิวัฏฏะ เพราะเป็นผู้ฉลาดในวิปัสสนา อนึ่ง ในภิกษุ 2 รูปนี้
รูปหนึ่งฉลาดในลักขณะสมาธิ รูปหนึ่งฉลาดในลักขณะแห่งวิปัสสนา
อนึ่ง รูปหนึ่งฉลาดในการหยั่งลงสมาธิ รูปหนึ่งฉลาดในการหยั่ง
ลงสู่วิปัสสนา อีกนัยหนึ่ง ใน 2 รูปนี้ รูปหนึ่งฉลาดในการย่อองค์
รูปหนึ่งฉลาดในการย่ออารมณ์ อีกนัยหนึ่ง องค์หนึ่งฉลาดในการ
กำหนดองค์ องค์หนึ่งฉลาดในการกำหนดอารมณ์ พึงการทำการ
ประกอบความในภิกษุ 2 รูปนี้ ด้วยประการยังกล่าวมานี้ อีก
อย่างหนึ่ง พระจุลลปัณฐกเถระ เป็นผู้ได้รูปาวจรฌาน ออกจาก
องค์ฌานแล้วบรรลุพระอรหัต ฉะนั้น จึงชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดในเจโต-
วิวัฎฏะ พระมหาปัณถกเป็นผู้ได้อรูปาวจรฌาน ออกจากองค์ฌาน
แล้วบรรลุพระอรหัต ฉะนั้น จึงชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดในปัญญาวิวัฏฏะ
พระเถระทั้ง 2 รูปที่มีชื่อว่า ปัณฐกะ เพราะท่านเกิดที่หนทาง
ทั้งสองรูปนั้น รูปที่เกิดก่อนชื่อว่า มหาปัณฐกะ อีกรูปหนึ่งชื่อว่า
จุลลปัณฐกะ ก็ในปัญหากรรมของพระเถระทั้ง 2 รูปนี้ มีเรื่อง
ที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปนี้
ก็ในอดีตกาลครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ มีกุฏุมพี
2 พี่น้อง เป็นชาวเมืองหงสวดี เลื่อมใสในพระศาสนาไปฟังธรรม
สำนักพระศาสดาเป็นนิตย์. ในกุฏุมพี 2 พี่น้องนั้น วันหนึ่งน้องชาย
เห็นพระศาสดาสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งผู้ประกอบด้วยองค์ 2 ไว้ใน
ตำแหน่งเอตทัคคะว่า ภิกษุรูปนี้เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้เนรมิต-
กายมโนมัย และเป็นผู้ฉลาดในเจโตวิวัฏฏะในศาสนาของเรา จึง
คิดว่า น่าอัศจรรย์หนอ ภิกษุนี้เป็นคนเดียวทำ 2 องค์ให้บริบูรณ์

เที่ยวไปได้ แม้เราก็ควรเป็นผู้บำเพ็ญมีองค์ 2 เที่ยวไปในศาสนา.
ของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคต ดังนี้ เขาจึงนิมนต์พระศาสดา
ถวายมหาทานโดยนัยก่อนนั่นแล แล้วทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ภิกษุที่พระองค์สถาปนาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า เป็น
ยอดในศาสนาของพระองค์ ด้วยองค์มโนมัย และด้วยความเป็น
ผู้ฉลาดในเจโตวิวัฏฏะ ในที่สุดแห่งวัน 7 แต่นี้ แม้ข้าพระองค์ก็
พึงเป็นผู้บำเพ็ญองค์ 2 บริบูรณ์เหมือนภิกษุนั้น ด้วยผลแห่งกรรม
อันเป็นอธิการนี้เถิด พระศาสดาทรงตรวจดูอนาคตก็ทรงเห็นว่า
ความปรารถนาท่านจะสำเร็จโดยหาอันตรายมิได้ ทรงพยากรณ์ว่า
ในอนาคตในที่สุดแห่งแสนกัป พระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ
จักทรงอุบัติขึ้น พระองค์จักสถาปนาเธอไว้ในฐานะ 2 นี้ ดังนี้
ทรงกระทำอนุโมทนา แล้วเสด็จกลับไป.
แม้พี่ชายของท่านในวันหนึ่ง เห็นพระศาสดาทรงสถาปนา
ภิกษุผู้ฉลาดในปัญญาวิวัฏฏะไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะก็กระทำ
บุญกุศลเหมือนอย่างนั้น การทำความปรารถนาแล้ว แม้พระ-
ศาสดาก็ทรงพยากรณ์ท่านแล้ว. ทั้ง 2 พี่น้องนั้นเมื่อพระศาสดา
ยังทรงพระชนม์อยู่กระทำกุศลกรรมแล้ว เมื่อเวลาพระศาสดา
ปรินิพพานแล้ว ได้บูชาด้วยทองที่พระเจดีย์บรรจุพระสรีระ จุติ
จากภพนั้นแล้วไปบังเกิดในเทวโลก เมื่อ 2 พี่น้องเวียนว่ายอยู่ใน
เทวดาและมนุษย์ล่วงไปถึงแสนกัป ในชนทั้ง 2 นั้น ข้าพเจ้าจะไม่
กล่าวกัลยาณกรรมที่มหาปัณฐกะกระทำไว้ในระหว่าง ๆ ส่วน
จุลลปัณฐกะออกบวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า
กัสสป เจริญโอทาตกสิณล่วงไป 20,000 ปี ไปบังเกิดในสวรรค์

ครั้นภายหลังพระศาสดาของเราทรงบรรลุพระอภิสัมโพธิญาณ
ทรงประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐแล้วทรงอาศัยกรุงราชคฤห์
ประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร ควรจะกล่าวถึงความบังเกิดของ
ชนทั้ง 2 นั้น.
ได้ยินว่า กุลธิดาของธนเศรษฐีในกรุงราชคฤห์ การทำการ
ลักลอบกับทาสของตนเอง แล้วคิดว่า หากคนอื่น ๆ รู้กรรมนี้
ของเราก็กลัวกล่าวอย่างนี้ว่า เราไม่อาจอยู่ในที่นี้ได้ ถ้าหากว่า
มารดาบิดาของเรารู้ความผิดอันนี้ จักกระทำเราให้เป็นชิ้นเล็ก
ชิ้นน้อย จำเราจะไปอยู่ต่างถิ่นกันเถิด จัดถือเอาแต่ของสำคัญติดมือ
ไปได้แล้วพากันออกทางประตูใหญ่ ไปอยู่ยังที่ ๆ ไม่มีคนอื่นรู้จัก
เถิด คนทั้ง 2 ก็พากันออกไป เมื่อชนทั้ง 2 นั้นอยู่ในที่แห่งหนึ่ง
อาศัยความอยู่ร่วมกัน นางก็ตั้งครรภ์แล้ว พอครรภ์แก่จัดนางจึง
ปรึกษากับสามีว่า ครรภ์เราแก่มากแล้ว ธรรมดาการคลอดใน
ที่ที่ไม่มีญาติเผ่าพันธ์เป็นความลำบากแก่เราทั้งสองแท้จริง เราไป
เรือนสกุลกันเถอะ สามีพูดผลัดว่า วันนี้จะไป พรุ่งนี้ค่อยไป จน
ล่วงไปหลายวัน นางจึงคิดว่า ผู้นี้เป็นคนโง่ไม่กล้าไปหรือไม่ไป
ก็ช่าง เราควรไป เมื่อสามีออกจากบ้านไปก็เก็บข้าวของไว้ใน
เรือน บอกแก่คนอยู่บ้านติดกันว่า ในรูปเรือนสกุลแล้วก็ออกเดิน
ทาง ทีนั้น บุรุษนั้นกลับมาเรือนไม่เห็นนาง ถามคนคุ้นเคยกันทราบ
ว่า ไปเรือนสกุลจึงรีบติดตามไปทันกันในระหว่างทาง นางก็คลอด
บุตรในที่นั้นนั่นเอง บุรุษนั้นถามว่า นี้อะไรนางผู้เจริญ นางตอบว่า
นายลูกเกิดคนหนึ่งแล้ว บุรุษนั้นถามว่าบัดนี้เราจะทำอย่างไร
นางกล่าวว่า เราจะไปเรือนสกุลเพื่อประโยชน์แก่การใด การนั้น

สำเร็จแล้วในระหว่าง เราไปที่นั้นแล้วจะทำอะไรได้ กลับกันเถิด
สองสามีภรรยานั้นมีใจตรงกันจึงกลับ ก็สองสามีภรรยาตั้งชื่อ
บุตรว่า ปัณฐกะ เพราะทารกนั้นเกิดที่หนทาง อีกไม่นานนัก นาง
ก็ตั้งครรภ์บุตรอีกคนหนึ่ง เรื่องทั้งหมดพึงกล่าวให้พิสดารโดยนัย
ก่อนนั่นเทียว. เขาตั้งชื่อบุตรที่เกิดก่อนว่า มหาปัณฐก บุตรที่เกิด
ทีหลังว่า จุลลปัณฐก เพราะทารกทั้งสองนั้นเกิดที่หนทาง ชนทั้งสอง
นั้นพาทารกทั้งสองไปยังที่อยู่ของตนตามเดิม.
เมื่อชนเหล่านั้นอยู่ในที่นั้น เด็กมหาปัณฐกะได้ยินเด็กอื่น ๆ
เรียก อา ลุง ปู่ ย่า จึงถามมารดาว่า แม่จ๋า เด็กอื่น ๆ เรียกปู่
เรียกย่า ก็ญาติของพวกเราในที่นี้ไม่มีบ้างหรือ นางตอบว่า จริงสิ
ลูก ญาติของเราในที่นี้ไม่มีดอก แต่ในกรุงราชคฤห์ตาของเจ้าชื่อ
ธนเศรษฐี ในกรุงราชคฤห์นั้นมีญาติของเจ้าเป็นอันมาก เพราะ
เหตุไรเราจึงไม่ไปกันในกรุงราชคฤห์นั้นละแม่ นางมิได้เล่าเหตุ
ที่ตนมาแก่บุตร เมื่อบุตรพูดบ่อย ๆ จึงบอกสามีว่า เด็ก ๆ เหล่านี้
รบเร้าเหลือเกิน พ่อแม่ของเราเห็นแล้วจักกินเนื้อหรือ มาเถอะ
เราจะไปชี้สกุลตายายแก่เด็ก ๆ สามีกล่าวว่า ฉันไม่อาจเผชิญ
หน้าได้ แต่ว่าจักพาไปได้ นางกล่าวว่า ดีละนาย เราควรให้เด็ก ๆ
เห็นตระกูลตาด้วยอุบายอย่างหนึ่ง จึงควร ทั้งสองคนจึงพาทารก
ไปจนถึงกรุงราชคฤห์โดยลำดับ พักที่ศาลาแห่งหนึ่งใกล้ประตู
บุตร มารดาเด็กส่งข่าวไปบอกแก่มารดาบิดาว่า พาเด็ก 2 คนมา
สัตว์ที่เวียนว่ายอยู่ในสงสารวัฎชื่อว่าจะไม่เป็นบุตรจะไม่เป็นธิดา
กันไม่มี มารดาบิดานั้นได้ฟังข่าวแล้วส่งคำตอบไปว่า คนทั้งสองมี
ความผิดต่อเรามาก ไม่อาจอยู่ในสายตาของเราได้ ทั้ง 2 คน

จงถือเอาทรัพย์มีประมาณเท่านี้ไปอยู่ยังสถานที่ที่เป็นผาสุกเถิด
แต่จงส่งเด็ก ๆ มาให้เรา ธิดาเศรษฐีรับเอาทรัพย์ที่มารดาบิดา
ส่งไปแล้วมอบเด็กทั้ง 2 ไว้ในมือทูตที่มาแล้วนั้นแล เด็กทั้ง 2
นั้นเติบโตอยู่ในตระกูลของตา
ในพี่น้องทั้งสองนั้น จุลลปัณฐกะยังเด็กเกินไป ส่วนมหาปัณฐกะ
ไปฟังธรรมกถาของพระทศพลพร้อมกับตา เมื่อเขาฟังธรรมต่อ
พระพักตร์พระศาสดาอยู่เป็นประจำ จิตก็น้อมไปในบรรพชา
เขาพูดกับตาว่า ถ้าตาอนุญาต หลานจะออกบวช ตากล่าวว่า
อะไรพ่อ การบรรพชาของเจ้าผู้ออกบวชแล้ว เป็นควานเจริญ
ทั้งแก่เราแลทั้งแก่โลกทั้งสิ้น ถ้าเจ้าสามารถก็จงบวชเถิดพ่อ ดังนี้
รับคำแล้วพากันไปยังสำนักพระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า มหา-
เศรษฐี. ท่านได้ทารกแล้วหรือ ศ.พระเจ้าข้า ทารกผู้นี้เป็นหลาน
ของข้าพระองค์ เขาบอกว่าจะบวชในสำนักของพระองค์ พระศาสดา
จึงตรัสมอบภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่งว่า เธอจงให้ทารก
นี้บวชเถิด พระเถระบอกตจปัญจกกัมมัฏฐานแก่ทารกนั้นแล้ว
ให้บรรพชาแล้ว ท่านเรียนพระพุทธวจนะได้มาก มีพรรษาครบ
แล้วก็อุปสมบท ครั้นอุปสมบทแล้วก็กระทำกิจกรรมในความใส่ใจ
โดยอุบายอันแยบคาย จนได้อรูปาวจรฌาน 4 ออกจากองค์ฌาน
แล้วได้บรรลุพระอรหัต ดังนั้น ท่านจึงเป็นยอดของบรรดาภิกษุ
ผู้ฉลาดในปัญญาวิวัฏฎะ.
ท่านยับยั้งอยู่ด้วยความสุขในฌาน ความสุขในมรรค ความสุข
ในนิพพาน จึงคิดว่า เราอาจให้ความสุขชนิดนี้แก่จุลลปัณฐกะได้ไหม

หนอ แต่นั้นจึงไปยังสำนักของเศรษฐีผู้เป็นตา กล่าวว่า ท่านมหา-
เศรษฐี ถ้าโยมอนุญาต อาตมะจะให้จุลลปัณฐกะบวช เศรษฐีกล่าวว่า
จงให้บวชเถิดท่าน พระเถระให้จุลลปัณฐกะบวชแล้วให้ตั้งอยู่ในศีล
10 สามเณรจุลลปัณฐกะเรียนคาถาในสำนักของพระพี่ชายว่าดังนี้..

ปทฺทมํ ยถา โกกนุทํ สุคนฺธํ
ปาโต สิยา ผุลฺลมวีตคนฺธํ
องฺคีรสํ ปสฺส วิโรจมานํ
ตปนฺตมาทิจฺจมิวนฺตลิกฺเข.
เชิญท่านดูพระอังคีรส ผู้รุ่งเรื่องอยู่
ดุจพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่ในอากาศ
เหมือนดอกปทุมวิเศษชื่อโกกนุทะ
มีกลิ่นหอมบานอยู่แต่เช้าไม่ปราศจากกลิ่นฉะนั้น.


บทที่ท่านเรียน ๆ ไว้แล้ว ก็หายไปเมื่อมาเรียนบทที่สูง ๆ
ขึ้นไป ท่านพยายามเรียนคาถานี้อย่างเดียวเวลาก็ล่วงไปถึง 4 เดือน
คราวนั้น พระมหาปัณฐกะกล่าวกะท่านว่า ปัณฐกะเธอเป็นอภัพพ
ในศาสนานี้ เธอจำคาถาแม้บทเดียวก็ไม่ได้เป็นเวลาถึง 4 เดือน
เธอจะทำกิจของบรรพชิตให้สำเร็จได้อย่างไร เธอจงออกไปจาก
ที่นี้เสีย ท่านถูกพระเถระขับไล่จึงไปยืนร้องไห้อยู่ ณ ท้ายพระวิหาร.
สมัยนั้น พระศาสดาทรงเข้าอาศัยกรุงราชคฤห์ประทับ
อยู่ในชีวกัมพวันสวนมะม่วงของหมอชีวก ขณะนั้นหมอชีวกใช้
บุรุษไปทูลนิมนต์พระศาสดากับภิกษุ 500 รูป และสมัยนั้น พระ-
มหาปัณฐกะเป็นเจ้าหน้าที่แจกอาหาร เมื่อบุรุษนั้นกล่าวนิมนต์ว่า

ท่านขอรับ ขอนิมนต์พระภิกษุ 500 รูป ท่านก็กล่าวว่า ฉันรับ
สำหรับภิกษุที่เหลือเว้นพระจุลลปัณฐกะ พระจุลลปัณฐกะได้ฟัง
คำนั้นก็โทมนัสเหลือประมาณ พระศาสดาทรงเห็นพระจุลลปัณถกะ
ร้องไห้อยู่ ทรงดำริว่า จุลลปัณฐกะเมื่อเราไปจักตรัสรู้ จึงเสด็จ
ไปแสดงพระองค์ในที่ที่ไม่ไกลแล้วตรัสว่า ปัณฐกะ เธอร้องไห้
ทำไม
ป.พี่ชายขับไล่ข้าพระองค์พระเจ้าข้า
พ.ปัณฐกะ พี่ชายของเธอไม่มีอาสยานุสยญาณสำหรับ
บุคคลอื่น เธอชื่อว่าพุทธเวไนยบุคคล ดังนี้ ทรงบรรดาลฤทธิ์มอบผ้า
ชิ้นเล็ก ๆ ที่สะอาดผืนหนึ่งประทานตรัสว่า ปัณฐกะ เธอจงเอา
ผ้าผืนนี้ภาวนาว่า รโชหรณํ รโชหรณํ ดังนี้.
ท่านนั่งเอามือคลำผ้าท่อนเล็กที่พระศาสดาประทานนั้น
ภาวนาว่า รโชหรณํ รโชหรณํ เมื่อท่านลบคลำอยู่ (เช่นนั้น) ผ้าผืน
นั้นก็เศร้าหมอง เมื่อท่านลูบคลำอยู่บ่อย ๆ ก็กลายเป็นเหมือนผ้า
เช็ดหม้อข้าว ท่านอาศัยความแก่กล้าแห่งญาณ เริ่มตั้งความสิ้นไป
และความเสื่อมไปในผ้านั้น คิดว่า ท่อนผ้านี้โดยปกติสะอาดบริสุทธิ์
เพราะอาศัยอุปาทินนกสรีระ จึงเศร้าหมอง แม้จิตนี้ก็มีคติเป็น
อย่างนี้เหมือนกัน แล้วเจริญสมาธิกระทำรูปาวจรฌาน 4 ให้ปรากฏ
บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาแล้ว ท่านเป็นผู้ได้ฌานด้วย
มโนมยิทธินั่นเอง สามารถทำคนคนเดียวเป็นหลายคนได้ หลายคน
ก็สามารถทำให้เป็นคนเดียวได้ ก็พระไตรปิฎกและอภิญญา 6
มาถึงท่านพร้อมกับพระอรหัตมรรคนั่นแหละ

วันรุ่งขึ้น พระศาสดาเสด็จไปพร้อมกับภิกษุ 500 ประทับ
นั่งในนิเวศน์ของหมอชีวก ส่วนพระจุลลปัณฐกะไม่ได้ไปเพราะตน
ไม่ได้รับนิมนต์นั่นเอง ชีวกเริ่มถวายข้าวยา พระศาสดาทรงเอา
พระหัตถ์ปิดบาตร หมอชีวกทูลถามว่า เพราะเหตุไร พระองค์
จึงไม่ทรงรับพระเจ้าข้า ตรัสว่า ยังมีภิกษุอีกรูปหนึ่งในวิหาร ชีวก
หมอชีวกจึงส่งบุรุษไปว่า พนาย จงไปนิมนต์พระคุณเจ้าที่อยู่ในวิหาร
มาที แม้พระจุลลปัณฐกเถระเนรมิตภิกษุ 1,000 รูปในเวลาใกล้
ที่บุรุษนั้นมาถึง ทำไม่ให้เหมือนกันแม้สักองค์เดียว องค์หนึ่ง ๆ
กระทำกิจของสมณะเป็นต้นว่า กะจีวรไม่เหมือนกับองค์อื่น ๆ บุรุษ
นั้น เห็นภิกษุมีมากในวิหารจึงกลับไปบอกหมอชีวกว่า นายท่าน
ภิกษุในวิหารนี้มีมากผมไม่รู้จักพระคุณท่านที่จะพึงนิมนต์มาจาก
วิหารนั้น หมอชีวกจึงทูลถามพระศาสดาว่า ภิกษุอยู่ในวิหาร
ชื่อไร พระเจ้าข้า
พ.ชื่อจุลลปัณฐกะ ชีวก
หมอชีวกกล่าวกะบุรุษนั้นว่า ไปเถิดพนาย จงไปถามว่า
องค์ไหนชื่อจุลลปัณถกะ แล้วนำมา
บุรุษนั้นกลับมายังวิหาร ถามว่า องค์ไหนชื่อจุลลปัณฐกะ
ขอรับ กล่าวว่า เราชื่อจุลลปัณฐกะ เราชื่อจุลลปัณถกะ ทั้ง 1,000
รูป. บุรุษนั้นกลับไปบอกหมอชีวกอีกว่า ภิกษุประมาณ 1,000 รูป
ทุกองค์บอกว่า เราชื่อจุลลปัณฐกะ เราชื่อจุลลปัณฐกะ ข้าพเจ้า
ไม่ทราบว่า จุลลปัณฐกะองค์ไหนที่ท่านให้นิมนต์ หมอชีวกทราบได้
โดยนัยว่า ภิกษุมีฤทธิ์เพราะแทงตลอดสัจจะแล้วจึงกล่าวว่า เจ้า

จงจับที่ชายจีวรภิกษุองค์ที่กล่าวก่อน บุรุษนั้นไปวิหารกระทำ
อย่างนั้นแล้ว ในทันใดนั้น ภิกษุประมาณ 1,000 รูป ก็อันตรธาน
ไป บุรุษนั้นพาพระเถระมาแล้ว พระศาสดาจึงทรงรับข้าวยาคู
ในขณะนั้น.
เมื่อพระทศพลการทำภัตกิจเสร็จแล้ว เสด็จกลับพระวิหาร
เกิดการสนทนากันขึ้นในธรรมสภาว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ใหญ่ถึงเพียงนั้นหนอ ทรงกระทำภิกษุผู้ไม่อาจจำคาถาคาถาหนึ่ง
ได้ตลอด 4 เดือนให้เป็นผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ได้ พระศาสดาทรง
ทราบวารจิตของภิกษุเหล่านั้น ประทับนั่งเหนืออาสนะที่เขาจัด
ไว้แล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอพูดอะไรกัน
ภิ. ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์มิได้กล่าว
เรื่องอะไร ๆ อื่น กล่าวแต่คุณของพระองค์เท่านั้นว่า พระจุลลปัณฐกะ
ได้ลาภใหม่แต่สำนักของพระองค์ ดังนี้
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จุลลปัณฐกะนี้ทำตามโอวาทของเรา
แล้วได้ความเป็นทายาททางโลกุตตระ ในบัดนี้ยังไม่น่าอัศจรรย์
แม้ในอดีตเธอกระทำตามโอวาทของเราผู้ตั้งอยู่ในญาณยังไม่แก่กล้า
ก็ได้ความเป็นทายาททางโลกิยะแล้ว
ภิกษุทั้งหลายจึงทูลวิงวอนว่า เมื่อไรพระเจ้าข้า พระศาสดา
ทรงนำอดีตนิทานมาแสดงแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาลพระราชาพระนามว่า
พรหมทัต ครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี, สมัยนั้นบัณฑิตชื่อ
จูฬกเศรษฐีเป็นคนฉลาดรู้นิมิตทั้งปวง วันหนึ่งกำลังเดินไปเฝ้า

พระราชา เห็นหนูตาย (ตัวหนึ่ง) ในระหว่างทาง จึงกำหนดนักษัตร
ในขณะนั้นแล้วกล่าวคำนี้ว่า กุลบุตรผู้มีดวงตามีปัญญาสามารถ
เอาหนูนี้ไปเลี้ยงภรรยาและจัดการงานได้ กุลบุตรเข็ญใจคนหนึ่ง
ฟังคำเศรษฐีนั้นแล้วคิดว่า ผู้นี้ไม่รู้คงไม่ ดังนี้จึงเอาหนูไปให้
ที่ร้านตลาดแห่งหนึ่ง เพื่อเลี้ยงแมว ได้ทรัพย์กากณิกหนึ่ง แล้วซื้อ
น้ำอ้อยด้วยทรัพย์กากณิกหนึ่งนั้น เอาหม้อใบหนึ่งใส่น้ำดื่มไป เห็น
ช่างจัดดอกไม้เดินมาแต่ป่าก็ให้ชิ้นน้ำอ้อยหน่อยหนึ่งแล้วเอากะบวย
ตักน้ำดื่มให้ ช่างดอกไม้เหล่านั้นให้ดอกไม้แก่บุรุษนั้นคนละกำ
แม้ในวันรุ่งขึ้นเขาเอาค่าดอกไม้นั้นไปซื้อน้ำอ้อยและหม้อน้ำดื่ม
แล้วไปยังสวนดอกไม้นั่นแหละ วันนั้น ช่างดอกไม้ก็ให้กอดอกไม้
ที่ตนเก็บไปครึ่งหนึ่งแล้วแก่เขาแล้วก็ไป ล่วงไปไม่นานนักเขาได้
ทรัพย์นับได้ถึง 8 กหาปณะโดยอุบายนี้ ในวันที่มีลมและฝน
(ตกหนัก) วันหนึ่ง เขากระทำไม้ที่ล้มแล้วให้เป็นกอง จึงได้ทรัพย์
อีก 16 กหาปณะจากนายช่างหม้อหลวง เขาเมื่อได้ทรัพย์เกิดขึ้น
ถึง 24 กหาปณะแล้วคิดว่า อุบายนี้มีประโยชน์แก่เรา จึงตั้งหม้อ
น้ำดื่มไว้หม้อหนึ่งในที่ไม่ไกลแต่ประตูเมือง เอาน้ำดื่มเลี้ยงคนตัดหญ้า
500 คน คนตัดหญ้าเหล่านั้นพูดกันว่า สหาย ท่านมีอุปการะมาก
แก่พวกเรา พวกเราจะทำอะไรแก่ท่านได้บ้าง บุรุษนั้นตอบว่า
เมื่อมีกิจเกิดขึ้นจึงกระทำแก่ข้าพเจ้าเถิด เที่ยวไปทางโน้นทางนี้
กระทำการผูกมิตรกับคนทำงานทางบกและคนทำงานทางน้ำ คน
ทำงานทางบกบอกแก่เขาว่า พรุ่งนี้พ่อค้าม้าจะนำม้า 500 ตัว
มายังเมืองนี้ เขาได้ฟังคำนั้นแล้วให้สัญญาแก่คนตัดหญ้าให้การทำ
ฟ่อนหญ้าแต่ละฟ่อน ๆ ให้เป็น 2 เท่าแล้วนำมา ครั้นเวลาม้า

ทั้งหลายมาพักในเมืองแล้ว (เขา) ก็มานั่งทำฟ่อนหญ้า 1,000 ฟ่อน
กองไว้ใกล้ประตูด้านใน พ่อค้าม้าหาหญ้าสดให้ม้าทั่วเมืองไม่ได้
ต้องให้ทรัพย์พันหนึ่งแก่บุรุษนั้นซื้อหญ้านั้นไป จากนั้นล่วงไป
2 - 3 วันสหายที่ทำงานทางทะเลมาบอกว่าจะมีเรือใหญ่เข้าจอดท่า
บุรุษนั้นคิดว่า อุบายนี้มี จึงเอาทรัพย์ 8 กหาปณะเช่ารถที่พร้อม
ด้วยเครื่องใช้ทุกชนิดไปยังท้าจอดเรือ ทำสัญญากับนายท่า ประทับ
นิ้วมือไว้ที่เรือแล้วให้กั้นม่านไว้ในที่ไม่ไกลนั่งอยู่ในภายในม่านนั้น
สั่งบุรุษ คนใช้ ไว้ว่า เมื่อพ่อค้าจากภายนอกมาถึงจงมาบอกทาง
ประตูด่านที่ 3 ครั้นคนใช้เหล่านั้นทราบว่า เรือมาถึงแล้วจึงบอกว่า
มีพ่อค้าประมาณ 100 คนจากกรุงพาราณสีมาซื้อสินค้า นาย
ประตูที่ 3 กล่าวว่า พวกท่านจะไม่ได้สินค้า (เพราะ) นายพานิช
ใหญ่ในที่โน้นท่านทำสัญญาไว้แล้ว พ่อค้าเหล่านั้นฟังคำของบุรุษ
เหล่านั้นแล้วจึงพากันไปยังสำนักของพ่อค้าใหญ่นั้น ฝ่ายบุรุษคนสนิท
แจ้งข่าวว่า พ่อค้าเหล่านั้นมาทางประตูด่านที่ 3 ตามสัญญาฉบับ
ก่อน พ่อค้าทั้งร้อยคนนั้น ต้องให้ทรัพย์คนละพันแล้วจึงเดินทาง
ไปเรือกับบุรุษนั้นแล้วจ่ายทรัพย์อีกคนละพัน ๆ แล้วให้สละมัดจำ
แล้วจึงจะทำสินค้าให้เป็นของ ๆ ตนได้ บุรุษนั้นถือเอาทรัพย์ 2
แสนกลับมายังกรุงพาราณสี คิดว่า เราควรจะเป็นคนกตัญญู จึงถือ
เอาทรัพย์แสนหนึ่งไปสงสำนักแห่งจูฬกเศรษฐี
ครั้งนั้น เศรษฐีถามบุรุษนั้นว่า พ่อทำอย่างไรจึงได้ทรัพย์
นี้มา บุรุษนั้นกล่าวว่า ข้าพเจ้าตั้งอยู่ในอุบายที่ท่านกล่าวแล้วจึง
ได้ทรัพย์มาภายใน 4 เดือนเท่านั้น เศรษฐีได้ฟังคำของบุรุษนั้น
จึงมาคิดว่า บัดนี้เราไม่ควรทำเด็กเห็นปานนี้ให้เป็นสมบัติของ

คนอื่น จึงยกธิดาที่เจริญวัยให้ทำให้เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งสิ้น
กุลบุตรแม้นั้น เมื่อเศรษฐีล่วงไปแล้วจึงรับตำแหน่งเศรษฐีแทนใน
พระนครนั้น ดำรงอยู่จนตลอดอายุแล้วไปตามยถากรรม.
พระศาสดาตรัสเรื่องทั้ง 2 นี้แล้วทรงสืบต่ออนุสนธิเทศนา
ในขณะที่ตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณแล้ว ตรัสพระคาถาว่าดังนี้

อปฺปเกนปิ เมธาวี ปาภเฏน วิจกฺขโณ
สมุฏฺฐาเปติ อตฺตานํ อณุํ อคฺคึว สนฺธมนฺติ.
บุคคลผู้มีปัญญา มีปัญญาเห็นประจักษ์ ย่อม
ตั้งตนได้ด้วยทรัพย์อันเป็นต้นทุนแม้เล็กน้อย
ดุจบุคคลก่อไฟอันน้อย ให้โพลงขึ้นได้ ฉะนั้น.


พระศาสดาทรงแสดงเหตุนี้แก่บรรดาภิกษุผู้นั่งประชุม
กันในธรรมสภาด้วยประการดังนี้ นี้เป็นเรื่องราวที่มีมาตามลำดับ
จำเดิมแต่การตั้งความปรารถนาไว้ในตอนแรกของพระมหาสาวก
ทั้งสอง ก็ต่อมา พระศาสดามีหมู่พระอริยแวดล้อมแล้วประทับนั่ง
เหนือธรรมาสน์ ทรงสถาปนาพระจุลลปัณฐกเถระไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้ฉลาดในเจโตวิวัฏฏะ ผู้เนรมิต
กายมโนมัยได้ ทรงสถาปนาพระมหาปัณฐกเถระไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้ฉลาดในปัญญาวิวัฏฏะ ด้วยประการ
ฉะนี้.
จบ อรรถกถาสูตรที่ 1 - 2

อรรถกถาสูตรที่ 3



ประวัติพระสุภูติเถระ



พึงทราบวินิจฉัยในพระสูตรที่ 3 ต่อไปนี้.
บทว่า อรณวิหารีนํ ได้แก่ผู้มีปกติอยู่โดยหากิเลสมิได้ จริงอยู่
กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้นท่านเรียกว่า รณะ ชื่อว่าผู้มีปกติอยู่
โดยหากิเลสมิได้ เพราะไม่มีกิเลสที่ชื่อว่ารณะ นั้น, ชื่อว่า ผู้มีปกติ
อยู่โดยหากิเลสมิได้ อรณวิหารนั้นมีอยู่แก่ภิกษุเหล่าใด ภิกษุเหล่านั้น
ชื่อว่า ผู้มีปกติอยู่โดยหากิเลสมิได้ พระสุภูติเถระเป็นยอดของเหล่า
ภิกษุผู้มีปกติอยู่โดยหากิเลสมิได้เหล่านั้น จริงอยู่พระขีณาสพ
แม้เหล่าอื่น ก็ชื่อว่า อรณวิหารี ก็จริง ถึงอย่างนั้นพระเถระก็ได้
ชื่ออย่างนั้น ด้วยพระธรรมเทศนา ภิกษุเหล่าอื่น เมื่อแสดงธรรม
ย่อมกระทำเจาะจงกล่าวคุณบ้าง โทษบ้าง ส่วนพระเถระเมื่อแสดง
ธรรมก็แสดงไม่ออกจากข้อกำหนดที่พระศาสดาแสดงแล้ว. เพราะ
ฉะนั้น จึงชื่อว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุมีปกติอยู่โดยหากิเลสมิได้.

จบ อรรถกถาสูตรที่ 3